10 วิธีที่ลูกสามารถระลึกถึงความดีของพ่อแม่… ไม่ต้องใช้เงินซื้อ !

เรามักได้ยินว่า “บุญคุณพ่อแม่ ยากที่จะตอบแทน” แต่ในความเป็นจริง การตอบแทนบุญคุณไม่จำเป็นต้องเป็นในรูปแบบของสิ่งวัสดุหรือเงินทองเสมอไป ความรัก, ความเอื้ออารี, และการแสดงให้เห็นว่าเรายินดีที่จะทำอะไรเพื่อพ่อแม่ ก็สามารถเป็นวิธีการที่สำคัญในการตอบแทนบุญคุณที่ได้รับมา ดังนั้น มาดูกันว่ามีสิ่งใดบ้างที่ลูกกตัญญูสามารถทำเพื่อตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่แม้ไม่มีเงิน

  1. หาเวลาที่จะอยู่ด้วยกัน: การให้เวลาของเราเพื่อพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นการคุยกัน หรือทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราใส่ใจและเห็นความสำคัญของพวกเขา
  2. ฟังเรื่องราวของพ่อแม่: การฟังเรื่องราวต่างๆ จากพ่อแม่เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราเอื้ออารีและเคารพความรู้สึกของพวกเขา
  3. ช่วยเหลืองานบ้าน: การช่วยเหลืองานบ้าน, ทำความสะอาด หรือจัดการกับงานต่างๆ ที่บ้าน เป็นวิธีที่สามารถแสดงความกตัญญูและแสดงให้เห็นว่าเรายินดีที่จะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
  4. เรียนรู้และพัฒนาตนเอง: การเรียนรู้และพัฒนาตนเองเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตอบแทนพ่อแม่ โดยแสดงให้เห็นว่าเราเอาใจใส่และใช้ความรู้ที่ได้รับมาเพื่อประโยชน์
  5. ดูแลสุขภาพ: การดูแลสุขภาพของตนเองและพ่อแม่เป็นสิ่งที่สำคัญ และเป็นการแสดงให้เห็นว่าเรายินดีที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลและรักษา
  6. ให้กำลังใจ: ในวันที่พ่อแม่รู้สึกหดหู่หรือเศร้า การให้กำลังใจและคำปลอบโยนสามารถช่วยให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น
  7. ชื่นชมและขอบคุณ: การแสดงความขอบคุณและชื่นชมสิ่งที่พ่อแม่ได้ทำเป็นการแสดงให้เห็นว่าเราเห็นและเคารพความรู้สึกของพวกเขา
  8. แชร์เรื่องราวของชีวิต: การบ่งบอกเรื่องราวต่างๆ จากชีวิตประจำวันของเรา เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราเชื่อมั่นและเปิดเผยต่อพ่อแม่
  9. ช่วยเหลือผู้อื่น: การช่วยเหลือผู้อื่นในชุมชนหรือที่บ้านเป็นการแสดงให้เห็นว่าเรายินดีที่จะแบ่งปันและให้กับผู้อื่น
  10. แสดงความรัก: ไม่ว่าจะเป็นการกอด, การบอกว่า “รักนะ” หรือการแสดงความรักในรูปแบบต่างๆ การแสดงความรักเป็นสิ่งที่ไม่ต้องใช้เงิน แต่มีค่ามาก

เพื่อตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ การทำสิ่งเล็กๆ แต่มาจากใจ สามารถสร้างความสุขและความรู้สึกที่ดีในครอบครัวได้ และนี่คือการตอบแทนที่แท้จริง.

20 งานอดิเรกที่เป็นประโยชน์ ทำให้คุณมีความสุขและฉลาดขึ้น

  1. การอ่าน: ขยายมุมมองและความรู้ด้วยการอ่านหนังสือจากหลายแนว
  2. การเขียน: ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบันทึก, การเขียนบล็อก, หรือการเขียนเรื่อง การเขียนช่วยเสริมสร้างความสร้างสรรค์
  3. การเรียนภาษาใหม่: เสริมสร้างสมรรถภาพทางสมองและเข้าใจวัฒนธรรมต่างๆ
  4. การเล่นเครื่องดนตรี: ช่วยเสริมสร้างความจำและความอดทน
  5. การทำการเกษตร: เชื่อมต่อกับธรรมชาติและเรียนรู้วงจรชีวิต
  6. การทำอาหารและการอบ: ทดลองสูตรใหม่ๆ และความสร้างสรรค์
  7. การเต้นรำ: ดีต่อสุขภาพ, การประสานการเคลื่อนไหว, และการยกระดับอารมณ์
  8. การฝึกสมาธิและโยคะ: เพิ่มความชัดเจนทางใจ, ลดความเครียด, และเพิ่มความยืดหยุ่น
  9. งานฝีมือ DIY: ไม่ว่าจะเป็นการถักหรืองานไม้, งานฝีมือเป็นทั้งการบำบัดและประโยชน์
  10. การถ่ายภาพ: จับฉากและพัฒนาทักษะในการมองเห็นความสวยงาม
  11. ปริศนาและเกมสมอง: เพิ่มทักษะในการแก้ปัญหาและการทำงานของสมอง
  12. การเดินทาง: การเดินทางแม้แต่ในพื้นที่ใกล้เคียงสามารถขยายมุมมองและเพิ่มความรู้ในวัฒนธรรมต่างๆ
  13. การเรียนรู้การเขียนโปรแกรม: พัฒนาทักษะที่มีค่าและเสริมสร้างการคิดแบบตรรกะ
  14. การวาดรูปหรือการวาดภาพ: แสดงออกและเสริมสร้างความสร้างสรรค์
  15. การทำงานอาสา: บำเพ็ญประโยชน์และเข้าใจความต้องการของผู้อื่น
  16. การเดินป่าและการเดินในธรรมชาติ: เชื่อมต่อกับธรรมชาติ, เสริมสร้างสุขภาพ, และเคลียร์ใจ
  17. การดูนก: พัฒนาความอดทนและความซาบซึ้งในสิ่งมีชีวิต
  18. เกมหมากรุกและเกมกลยุทธ์: เสริมสร้างการคิดกลยุทธ์
  19. การศึกษาดาราศาสตร์: สำรวจความทึ่งของจักรวาลและเรียนรู้เกี่ยวกับร่างฟ้า
  1. การสร้างพ็อดคาสต์หรือวีล็อก: แบ่งปันความรู้หรือเรื่องราว, พัฒนาทักษะในการสื่อสารและสร้างชุมชน

การมีงานอดิเรกเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณมีความสุข แต่ยังเสริมสร้างประโยชน์ทั้งทางจิตใจและสมอง ลองสำรวจและค้นหาความหลงใหลในการทำงานอดิเรกใหม่ๆ!

ป้องกันโรคหวัดด้วยวิตามิน: สูตรเสริมสร้างภูมิคุ้มกันสุดแกร่ง!

โรคหวัดเป็นเรื่องปกติที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน แต่การที่เราสามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคหวัดนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ วิตามินเป็นหนึ่งในสารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน วันนี้ เราจะมาดูว่าวิตามินชนิดใดบ้างที่สามารถช่วยป้องกันโรคหวัด

1. วิตามิน C
เป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อร่างกายมาก ช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และยังมีส่วนช่วยในการผลิตคอลลาเจน วิตามิน C ยังช่วยในการแก้ไขสารพิษและป้องกันการอักเสบ

2. วิตามิน D
วิตามินนี้ช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และยังเล่นบทบาทในการดูแลสุขภาพกระดูก

3. วิตามิน E
เป็นแอนติออกซิแดนต์ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยป้องกันการเกิดอักเสบและโรคต่างๆ

4. วิตามิน A
ช่วยในการบำรุงผิว และยังเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อแบคทีเรียและไวรัส

ในการบริโภควิตามินเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ควรปฏิบัติตามวิธีและปริมาณที่แนะนำ การทานวิตามินเกินขนาดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง แนะนำให้ศึกษาข้อมูลและปรึกษาแพทย์ก่อนการทาน

นอกจากการทานวิตามินเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแล้ว การดูแลสุขภาพร่างกายโดยรวม การทานอาหารที่ถูกต้อง การออกกำลังกาย และการพักผ่อนเพียงพอ ยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง

โรคหวัดอาจดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่การที่เราเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงจะช่วยให้เราไม่ต้องประสบกับความไม่สบายจากโรคหวัด วิตามินเป็นหนึ่งในวิธีที่เราสามารถใช้เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน แต่อย่าลืมว่า การดูแลสุขภาพโดยรวมยังเป็นส่วนสำคัญเช่นกัน

เมื่อคุณรู้แล้วว่าวิตามินชนิดใดบ้างที่สามารถช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน คุณสามารถเริ่มทานวิตามินเหล่านั้นเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันโรคหวัดให้ได้ ขอให้คุณมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง!

(หมายเหตุ: บทความนี้เป็นการเขียนโดยใช้ข้อมูลทั่วไป แนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนการทานวิตามิน)

30 วิธี ทำแล้วแม้ว่าจะอายุมากก็ยังดูอ่อนวัยได้

30 วิธี ทำแล้วแม้ว่าจะอายุมากก็ยังดูอ่อนวัยได้

การเตรียมตัวสู่วัยทองไม่ได้หมายความว่าคุณต้องยอมรับว่าตนเองจะดูแก่ไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้เรามี 30 วิธีที่จะช่วยให้คุณดูอ่อนวัย แม้ว่าอายุจะเพิ่มขึ้น:

  1. ดื่มน้ำเพียงพอ: การรักษาความชุ่มชื้นของผิวเป็นสิ่งสำคัญ
  2. การออกกำลังกาย: ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
  3. การรับประทานอาหารที่ดี: เน้นผัก ผลไม้ และโปรตีนจากแหล่งที่ดี
  4. การหลีกเลี่ยงแสงแดด: ใช้ครีมกันแดดทุกวัน
  5. การนอนพักผ่อน: นอน 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
  6. หลีกเลี่ยงความเครียด: ฝึกการผ่อนคลายด้วยการฝึกสมาธิ
  7. การดูแลผิว: ทำความสะอาด และบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ
  8. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่: บุหรี่ทำให้ผิวแห้ง และเกิดริ้วรอย
  9. การดื่มแอลกอฮอล์: ดื่มในปริมาณที่เหมาะสม
  10. การเลือกใช้เครื่องสำอาง: เลือกเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ
  11. การทำสปา: ช่วยให้ผิวผ่อนคลาย
  12. การทำโยคะ: ช่วยในการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
  13. การรับประทานวิตามิน: เช่น วิตามิน C, E และวิตามิน D
  14. การดื่มน้ำผลไม้: ช่วยในการยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ
  15. การทำเสริมผม: การเปลี่ยนสีผมที่เหมาะสมสามารถทำให้ดูอ่อนวัย
  16. การเลือกใส่เสื้อผ้า: เลือกสีและลวดลายที่ทำให้ดูเยาว์
  17. การเลือกสร้อยคอ: สร้อยคอที่มีความยาวเหมาะสมสามารถทำให้ดูอ่อนวัย
  18. การทำฟันขาว: ฟันขาวสะอาดทำให้ดูมีชีวิตชีวา
  19. การทำนวด: ช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
  20. การรับประทานอาหารเสริม: เช่น คอลลาเจน หรืออมิโนแอซิด
  21. การทำความสะอาดบ้าน: สร้างบรรยากาศที่ดีในบ้าน
  22. การฟังเพลง: เพลงที่คุณชอบสามารถทำให้คุณรู้สึกดี
  23. การท่องเที่ยว: การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมสามารถทำให้คุณรู้สึกดี
  24. การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ: เช่น การเรียนภาษาใหม่
  25. การทำกิจกรรมที่คุณชอบ: เช่น การวาดรูป หรือการเล่นดนตรี
  26. การทำกายภาพบำบัด: ช่วยในการฟื้นฟูสภาพร่างกาย
  27. การเลือกใช้น้ำหอม: น้ำหอมที่เหมาะสมสามารถทำให้คุณรู้สึกดี
  28. การทำการกุศล: การช่วยเหลือผู้อื่นสามารถทำให้คุณรู้สึกดี
  29. การเลี้ยงสัตว์เลี้ยง: สัตว์เลี้ยงสามารถเป็นเพื่อนที่ดี
  30. การทำสวน: การทำสวนสามารถทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย

การดูแลตนเองไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ดูแลร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดูแลจิตใจและวิธีการใช้ชีวิตในแต่ละวัน การทำตามวิธีเหล่านี้จะช่วยให้คุณรู้สึกดีและดูอ่อนวัยมากขึ้น ไม่ว่าอายุจะเพิ่มขึ้นกี่ปีก็ตาม!

BCG Matrix นำมาใช้กับธุรกิจได้อย่างไร ?

BCG Matrix หรือ Boston Consulting Group Matrix เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจขององค์กร โดยจะแบ่งผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจออกเป็น 4 กลุ่ม คือ Stars, Cash Cows, Question Marks, และ Dogs โดยมีเกณฑ์การวิเคราะห์จากอัตราการเติบโตของตลาด (Market Growth Rate) และสัดส่วนของตลาด (Market Share) ของผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจนั้นๆ

การนำ BCG Matrix มาใช้กับธุรกิจ:

การวางแผนกลยุทธ์: ช่วยในการกำหนดกลยุทธ์สำหรับแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ ว่าควรลงทุนเพิ่ม, รักษา, หรือถอนการลงทุน

การจัดสรรทรัพยากร: ช่วยในการตัดสินใจว่าควรจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณให้กับผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจแต่ละกลุ่มอย่างไร

การวิเคราะห์ธุรกิจ: ช่วยในการวิเคราะห์ธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในสถานะต่างๆ ขององค์กร

การตัดสินใจเรื่องการเข้าสู่ตลาดใหม่: ช่วยในการตัดสินใจว่าควรเข้าสู่ตลาดใหม่หรือไม่ หรือควรพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่หรือไม่

การตัดสินใจเรื่องการถอนผลิตภัณฑ์: ช่วยในการตัดสินใจว่าควรถอนผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจใดออกจากตลาด

การวิเคราะห์คู่แข่ง: ช่วยในการวิเคราะห์ธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งในตลาด

การพัฒนาผลิตภัณฑ์: ช่วยในการตัดสินใจว่าควรพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มใดเพื่อเพิ่มสัดส่วนของตลาด

การนำ BCG Matrix มาใช้กับธุรกิจจะช่วยให้องค์กรสามารถวางแผนกลยุทธ์และจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่อาจมีผลต่อธุรกิจเพิ่มเติม.

การผลิตพริกสด

บทนำ
พริก เป็นผักที่มีความสำคัญในชีวิตประจำวันของคนไทยเป็นอย่างมาก คนไทยนิยมใช้พริกในการประกอบอาหารประจำวัน เพราะพริกสามารถใช้ได้เป็นทั้งพืชผักและเครื่องปรุงแต่งรส นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในด้านอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์แปรรูปเครื่องปรุงแต่งรส อาทิ พริกแห้ง พริกป่น พริกแกง น้ำพริกเผา ซอสพริก และที่สำคัญพริกเป็นพืชผักเพื่อการส่งออกสำคัญ โดยสามารถนำเงินเข้าประเทศปีละหลายล้านบาท ทั้งในรูปพริกสด พริกแห้งและผลิตภัณฑ์แปรรูปพริกจึงนับเป็นพืชผักที่สามารถทำรายได้ให้กับผู้ปลูกได้เป็นอย่างดี

พันธุ์พริกสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทผลเรียวยาวขนาดเล็กถึงขนาดปานกลาง เช่น พริกขี้หนู พริกชีฟ้า พริกเหลือง และประเภทผลเป็นรูประฆังและเผ็ดน้อย หรือไม่เผ็ดเลย ได้แก่ พริกยักษ์หรือพริกหวาน

ปัจจัยจำเป็นที่ต้องใช้
พื้นที่ปลูกพริกควรเป็นที่โล่งแจ้งได้รับแสงตลอดวัน ไม่ควรเป็นที่ลุ่มๆ ดอนๆ หรือที่สูง ดินแห้งและพื้นที่ดังกล่าวไม่ควรเป็นพื้นที่ที่เคยปลูกพริกติดต่อกันหลายปี เพราะอาจเป็นที่สะสมโรคและแมลงได้ แต่ถ้าจำเป็นต้องปลูกซ้ำที่เดิมควรปลูกพืชตระกูลถั่วหมุนเวียน พริกสามารถเติบโตได้ในดินแทบทุกชนิดโดยเฉพาะดินร่วนปนทรายที่มีอินทรีย์วัตถุสูง มีการระบายน้ำที่ดี สามารถเก็บความชื้นได้พอเหมาะ มีความเป็นกรดเป็นด่างของดิน (pH) อยู่ระหว่าง 6.0 – 6.8 โดนทั่วไปพริกเป็นพืชที่ชอบอากาศร้อน

ขั้นตอนการดำเนินงาน

1/ การเตรียมแปลงเพาะ
แปลงเพาะควรกว้าง 1 เมตร ส่วนความยาวขึ้นกับความต้องการและความสะดวกในการดูแลรักษา ควรขุดพลิกดินลึก 8 – 10 นิ้ว ตากแดดทิ้งไว้อย่างน้อย 7 วัน จึงย่อยดินให้ละเอียด ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ 4 – 5 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร พรวนคลุกเคล้าให้เข้ากันดีกับดินแล้วเกลี่ยหน้าดินให้เรียบ สำหรับการเพาะในกระบะใช้ดินร่วนซุยผสมปุ๋ยคอกที่แห้งละเอียดในอัตรา 2 ต่อ 1 ถ้ามีแกลบเผาสีดำให้นำมาผสมอีก 1 ส่วน จากนั้นคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วรดน้ำตากทิ้งไว้ 1 สัปดาห์จึงทำการเพาะเมล็ด

2/ การเพาะกล้า
การปลูกพริกส่วนมากจะเพาะกล้าก่อนปลูกแล้วจึงย้ายไปปลูกในแปลง หรืออาจย้ายกล้าเมื่อมีใบจริง 2 – 3 ใบ ลงในถุงพลาสติกขนาด 4×6 นิ้วก่อน เมื่อกล้าอายุประมาณ 20 วัน หลังจากย้ายลงถุงพลาสติก จึงย้ายปลูกลงแปลง ถ้าใช้เมล็ดที่มีอัตราการงอก 90% และต้องการปลูกในพื้นที่ 1 ไร่ จำนวนต้นประมาณ 3,200 ต้น จะต้องใช้เมล็ดพันธุ์ 50 – 100 กรัม โรยเป็นแถวในแปลงเพาะที่ทำรอยเป็นร่องตื้นๆ ลึก 0.5 เซนติเมตร และควรจะขวางความยาวของแปลง การเพาะกล้าเพื่อย้ายลงแปลงปลูกโดยตรงควรมีระยะห่างมากขึ้นประมาณ 8 -10 เซนติเมตร หลังจากโรยเมล็ดแล้วโรยดินกลบเมล็ดให้ดินเสมอหน้าดิน คลุมด้วยฟางใหม่บาง กำจัดเชื้อราและแมลงด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ รดน้ำแปลงเพาะวันละ 1-2 ครั้ง เช้าเย็น กรณีย้ายกล้าลงถุงพลาสติก ดินที่ใส่ลงถุงใช้ส่วนผสมของดินเช่นเดียวกันกับการเตรียมกระบะเพาะ

3/ การเตรียมแปลงเพาะปลูก
ควรเตรียมแปลงปลูกตั้งแต่เริ่มเพาะกล้า โดยครั้งแรกจะไถตากดินไว้ 1-2 สัปดาห์ แล้วจึงทำการไถพรวนดิน เก็บซากวัชพืชที่ไม่ตายและที่สลายตัวยากออกจากดิน แล้วก็ทิ้งดินไว้อีก 1-2 สัปดาห์ ถ้าดินมีความเป็นกรดมาก (pH ต่ำ) ก็ปรับความเป็นกรดเป็นด่างให้สูงขึ้นมาอยู่ระหว่าง 6.0 – 6.8 โดยการใส่ปูนขาวตามค่าวิเคราะห์ดิน หรือประมาณไม่เกินไร่ละ 300 กิโลกรัม

4/ การปลูกและระยะปลูก
การย้ายกล้าจากแปลงเพาะไปปลูกควรทำเมื่ออายุกล้า 30 – 40 วัน หรือสูงประมาณ 12 เซนติเมตร ก่อนถอนกล้าควรรดน้ำแปลงเพาะกล้าให้ชุ่มก่อน แล้วใช้เสียมแซะด้านข้างๆ แถว หลังปลูกควรมีวัสดุคลุมกล้า ถ้าไม่มีวัสดุคลุมกล้าควรตัดยอดที่มีใบอ่อนออก ส่วนการย้ายกล้าจากถุงพลาสติกลงแปลงปลูกควรระวังเวลาฉีกถุงพลาสติกออก ห้ามให้ดินแตก และปลูกให้ลึกกว่าระดับเดิมที่อยู่ในถุง การปลูกทั้ง 2 วิธีหลังจากปลูกเสร็จให้รดน้ำตามทันทีจะทำให้กล้าตั้งตัวเร็ว และมีอัตราการรอดสูงหลุมที่ปลูกควรลึก 1 หน้าจอบ หรือขนาด 30 x 30 x 30 เซนติเมตร อาจปลูกเป็นแถวคู่ หรือแถวเดี่ยว
แถวคู่ ใช้ระยะห่างระหว่างแถวคู่ 120 ซม. ระหว่างแถว 80 ซม. และระหว่างต้น 50 ซม.
แถวเดี่ยว ใช้ระยะห่างระหว่างแถว 100 ซม. ระหว่างต้น 50 ซม.
ทั้ง 2 วิธี ใน 1 ไร่ จะปลูกได้ 3,200 ต้น ก่อนย้ายปลูกควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์อัตรา 2 ตันต่อไร่

5/ การดูแลรักษา
หลังจากการปลูก ควรให้น้ำทุกวันในระยะ 1 เดือนแรก เมื่อลำต้นเริ่มแตกกิ่งก้าน จึงค่อยงดการให้น้ำได้บ้าง โดยสังเกตความชื้นของดิน เมื่อพริกตั้งตัวแล้ว หรืออายุ 15 – 20 วันหลังปลูก ควรใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ตามความเหมาะสมโดยโรยรอบต้นแล้วพรวนดินกลบพร้อมทั้งกำจัดวัชพืชทุกๆ 20 วัน หลังปลูกให้ดูแลและกำจัดแมลงศัตรูพืช ประเภทเพลี้ยไฟ ไรขาว และเชื้อรา อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

ผลผลิต
หลังจากปลูกลงแปลงแล้ว 90 วัน พริกจะเริ่มแก่เป็นสีแดงและเริ่มเก็บผลผลิตรุ่นแรกเมื่ออายุประมาณ 100 วัน และเก็บต่อไปเรื่อยๆ 15 วันต่อครั้ง โดยเฉลี่ยจะได้ พริกสดครั้งละ 100 กิโลกรัมต่อไร่ ถ้าดูแลรักษาดี และให้น้ำเพียงพอ พริกจะมีอายุเก็บเกี่ยวได้นานถึง 8 เดือน